วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553

1.การสร้างจุดเด่นรูปภาพ
เริ่มแรกเลยคือเลือกรูปภาพที่ต้องการใช้งานขึ้นมา 1 รูป
หลังจากนั้น กด Ctrl + J เพื่อ Copy Layer รูปภาพเพิ่มขึ้นมาอีกเป็น 2 Layer
แล้ว ปลดล็อคที่ Backgrou ไปที่แถบเมนู Image ไปที่ Adjutments ไป Desaturate
ให้ไปที่เครื่องมือ Magnetic Lasso Tool เลือกตรงส่วนที่จะให้เป็นจุดเด่น
ไปที่ Layer Copy แล้วคลิก Delete ก็จะได้จุดเด่นของรูปภาพ ก็เป็นอันเสร็จค่ะ

2. Content-Aware
ให้เลือกรูปภาพที่ต้องการใช้งานขึ้นมา 1 รูป แล้วไปที่แถบเครื่องมือ Polygonal Lasso Tool
ไปที่แถบเมนู Edit ไป Fill ไป Content-Aware เลือก Opacity เป็น 95%
เป็นอันเสร็จค่ะ

3. การตัดส่วนเกินของรูป
ให้เราเลือกรูปภาพที่ต้องการใช้งานขึ้นมา 1 รูปนะค่ะ แล้วให้ไปที่แถบเมนู Filter ไปที่ Liquify ติ๊กที่ Show Mesh และเลือกที่เครื่องมือ Forward Warp ดึงให้ส่วนที่ต้องการยุบเข้าไป เสร็จแล้วกด OK ก็จะได้ตามที่เราต้องการค่ะ และถ้าเราต้องการทำให้รูปกลับมาเหมือนเดิมทั้งหมด คือ กด Ctrl + Alt ค่ะ

4. การทำภาพลายเส้น
ให้เราเลือกรูปภาพที่ต้องการใช้งานขึ้นมา 1 รูป แล้วกด Ctrl + J เพื่อ Copy Layer รูปภาพเพิ่มขึ้นมาอีกเป็น 2 Layer ไปที่แถบเมนู Image ไปที่ Adjutments ไปที่ Invertไปที่เครื่องมือด้านขวา ตรงคำว่า Normal เปลี่ยนเป็น Color Dodge ไปที่แถบเมนู Filter ไปที่ Blur ไปที่ Gaussian Blur ให้ปรับข้างล่างเป็น 2 แล้ว OK กด Ctrl + Shift + Alt + E ไปที่แถบเครื่องมือ Image ไปที่ Adjutments ไปที่ Theshold ปรับเป็น 240 แล้วก็เสร็จนะคะ

5. การทำ HDR Toning
ก่อนอื่นเลยนะคะเลือกรูปภาพที่ต้องการใช้งานขึ้นมา 1 รูปแล้ว ไปที่แถบเครื่องมือ Image ไปที่ Adjutments HDR Toning ปรับตั้งค่าตามทีต้องการแล้วกด OK เป็นอันเสร็จค่ะ

6. การทำภาพให้เป็นภาพหลอก
ให้เราเลือกรูปภาพที่ต้องการใช้งานขึ้นมา 1 รูป แล้วกด Ctrl + J เพื่อ Copy Layer รูปภาพเพิ่มขึ้นมาอีกเป็น 2 Layer ไปที่แถบเครื่องมือ Image ไปที่ Mode ไปที่ Lab Color แล้วเลือก Don’t Flatten ไปที่แถบเครื่องมือด้านขวา คลิกตรงคำว่า CHANNELS ไปที่แถบเมนู Image ไปที่ Adjutments ไปที่ Curves ปรับแสงตามต้องการแล้ว กด OK นะคะ

7. การทำบาโค๊ด
ให้เราไปที่ File New ความกว้าง 150 ความสูง 60 เลือก Transparent แล้วให้เทสีขาวบน Layer ไปที่แถบเมนู Filter ไปที่ Noise แล้วAdd Noise เปลี่ยนเป็น 400 ติ๊กที่ Monochromatic แล้ว OK ไปที่แถบเมนู Filter ไปที่ Blur แล้ว Motion Blur บน 90 ล่าง 999 ไปที่แถบเมนู Filter ไปที่ Sharpen ไปที่ Sharpen Edgesเพิ่ม Layer ข้างล่าง ไปที่แถบเครื่องมือ Rectangular Marquee Tool แล้วนำมาตีเป็นสี่เหลี่ยมข้างล่างทำเหมือนบาโค๊ดแล้วเทสีขาวลงไปเลยและไปเลือกที่แถบเครื่องมือ Horizontal Type Tool แล้วพิมพ์ตัวเลขใส่ได้เลยเป็นอันเสร็จนะคะ

8. การทำตาให้โตและใส่ขนตา
ให้เราเลือกรูปภาพที่ต้องการใช้งานขึ้นมา 1 รูป แล้วให้เราไปที่แถบเครื่องมือ Brush ไปที่ Load Brush ไปโหลดเอา Brush ขนตามา ให้ไปที่แถบเมนู Filter ไปที่ Liquify ไปที่แถบเครื่องมือด้านขวา คลิกเครื่องมือที่ชื่อว่า Bloat Tool แล้วไปวางที่ลูกตาจะทำให้ตาโตขึ้น แล้ว กด OK แล้วค่อยไปที่แถบเครื่องมือ Brush เลือกขนตาที่ต้องการใช้ ก่อนจะใส่ขนตาต้องเพิ่ม Layer ก่อนทุกครั้ง ถ้าจะทำอีกข้างอีก ก็เพิ่ม Layer ขึ้นมาอีก แล้วจึงใส่ขนตา ถ้าเราต้องการจะทำตาให้ดำ ไปที่แถบเครื่องมือ Brush Tool เลือกแบบวงกลมสีดำแล้วไปวางที่ลูกตา ลูกตาจะเป็นสีดำโต ก็จะได้ภาพที่เราต้องการนะคะ

วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553

มาเรียนรู้การทำจิ๊กซอว์กันเถอะค่ะ
ขั้นตอนที่1. ปิดภาพที่ต้องการใส่ทำเป็นภาพจิ๊กซอร์เข้ามาใน Photoshop โดยไปที่เมนูบาร์ แล้วเลือก File --> Open (ภาพที่เลือกมีขนาดความกว้าง 360 px.)



ขั้นตอนที่ 2 ใช้พาเล็ต Layers ทำการคัดลอก Layers โดยการคลิกค้างที่ Layer แล้วทำการลากมาวางที่ตำแหน่งที่ 2 หรืออาจใช้วิธีคลิกขวาที่เลเยอร์ เลือก Duplicate Layer.. ซึ่งจะทำให้มีเลเยอร์เพิ่มขึ้นมาอีก 1 เลเยอร์



ขั้นตอนที่ 3 คลิกที่เลเยอร์ที่สร้างขึ้นใหม่ แล้วทำการเปิดใช้งานพาเล็ต Styles โดยการเลือกคลิก Style ที่ตำแหน่งที่ 3 (หากไม่มี พาเล็ต Styles สามารถเรียกใช้โดยใช้คำสั่ง Window --> Styles)
ขั้นตอนที่ 4 ปรับค่า Opacity ของเลเยอร์ที่ 2 ให้เหลือ 50%



ขั้นตอนที่ 5 ถึงขั้นตอนนี้บนภาพชิ้นงานของคุณก็จะมีลักษะเป็นเหมือนจิ๊กซอว์ แต่ยังไม่สวยงาม เพราะขนาดของจิ๊กซอว์ไม่สมดุลย์กับภาพ ให้ทำการ ดับเบิ้ลคลิกที่เลเยอร์ที่ 2 จะปรากฏไดอะล็อกบอกซ์ของ Layer Style ให้กำหนดค่าต่าง ๆ ดังภาพ





เมื่อคลิก Ok คุณก็จะได้ภาพจิ๊กซอว์สวยงามดังภาพ
สำหรับเทคนิคนี้นั้น การนำไปใช้งานจริง ๆ ขึ้นอยู่กับขนาดของภาพที่คุณนำมาตกแต่ง ดังนั้นการกำหนดชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ให้สมดุลย์และสวยงาม จะขึ้นอยู่กับการปรับ Layer Styles ในขั้นตอนที่ 5

วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553

โค้ด2


ตัวอย่างการส่งตัวแปรจากฟอร์มไปยังไฟล์ PHP

ชื่อ :-

ที่อยู่ :-

เบอร์ :-

เมล์ :-

อาหารที่ชอบ :-

สีที่ชอบ :-




echo "

ชื่อ :- $name


\n";
echo "

ที่อยู่ :- $address


\n";
echo "

เบอร์ :- $tel


\n";
echo "

เมล์ :- $mail


\n";
echo "

อาหารที่ชอบ :- $food


\n";
echo "

สีที่ชอบ :- $color


\n";
?>

วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

โค้ด1

" method=post>

แบบฟอร์มการลบข้อมูล


กรุณากรอกรหัสนักศึกษาที่ต้องการลบ


รหัสนักศึกษา523199817

โดย นางสาว พรรณภัค ช่วยศรี


;
";
Mysql_close($link);
}
Else
{
Echo "ไม่สามารถลบข้อมูลได้
";
}
Echo "กลับหน้าจอการลบข้อมูล
";
Echo "กลับหน้าจอหลัก
";
}
?>

วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2553

วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552

วิธีการติดตั้ง Appserv 2.5.9

ขั้นตอนการติดตั้ง Appserv มีขั้นตอนดังนี้ คือ เข้าไปที่โปรแกรม Folder Too จากนั้นทำการรันโปรแกรม Appserv-win32-2.5.9 หลังจากการรันโปรแกรมจะแสดงหน้าต่างเริ่มต้นการติดตั้งให้กดที่ปุ่ม Next> จากนั้นจะขึ้นหน้าต่างให้ยอมรับการใช้งานแล้วกดที่ปุ่ม I Agree แล้วเลือกตำแหน่งที่จะลงของโปรแกรม ให้เลือกทุกช่องแล้วกดปุ่มNext> ให้ใส่ Password ให้ใส่ทั้งสองช่อง รอจนติดตั้งเสร็จส้นแล้วกดปุ่ม Finish

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2552

Vocaburaly

Vocaburaly

1).Database คือระบบที่รวบรวมข้อมูลไว้ในที่เดียวกัน ซึ่งประกอบไปด้วยแฟ้มข้อมูล (File) ระเบียน (Record) และ เขตข้อมูล (Field) และถูกจัดการด้วยระบบเดียวกัน โปรแกรมคอมพิวเตอร์จะเข้าไปดึงข้อมูลที่ต้องการได้ อย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจเปรียบฐานข้อมูลเสมือนเป็น electronic filing system
2).DBMS ( data base manag ement system ) เป็นฟังก์ชันในการจัดทำข้อมูลสำรอง และเมื่อใดก็ตามที่มีปัญหาเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขัดข้องของระบบไฟล์หรือเครื่องเกิดการเสียหาย DBMS จ ะต้องใช้ระบบข้อมูลสำรองในการฟื้นสภาพ ให้ระบบข้อมูลกลับเข้าสู่สภาพที่ถูกต้องสมบูรณ์ได้
3).Database Administrators : DBAS เป็นผู้ดูแลทั้งฐานข้อมูลและระบบจัดการฐานข้อมูล มีหน้าที่รับผิดชอบด้านความปลอดภัยของข้อมูล ประสานงานและตรวจสอบการใช้งาน รวมทั้งจัดหาและดูแลรักษาอุปกรณ์ทั้งทางด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์

4).Database Develo pment หมายถึง ใช้ตัวย่อว่า DBMS (อ่านว่าดีบีเอ็มเอส) หมายถึง ซอฟต์แวร์ที่สร้างขึ้นเพื่อรวบรวมข้อมูลให้เป็นระบบ เพื่อจะได้นำไปเก็บรักษา เรียกใช้หรือนำมาปรับปรุงให้ทันสมัยได้ง่าย ทั้งนี้จำเป็นต้องคำนึงถึงการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลเป็นเรื่องสำคัญด้วย

5).Data Definition Language : DDL หมายถึง ภาษากำหนดโครงสร้างข้อมูล (Data Definition Language : DDL) เป็นภาษาที่ใช้กำหนดเค้าร่างภายใน (internal schema) และเค้าร่างเชิงแนวคิด (conceptual schema) ใช้ในกรณีที่เค้าร่างภายในและเค้าร่างเชิงแนวคิดไม่แยก

6).Data Interrogation หมายถึง การสืบค้นข้อมูล ความสามารถในการสืบค้นฐานข้อมูลเป็นผลประโยชน์หลักของระบบจัดการฐานข้อมูล ผู้ใช้สามารถใช้ระบบจัดการฐานข้อมูลสำหรับการขอสารสนเทศจากฐานข้อมูล โดยการใช้ภาษาสอบถาม (Query Language) หรือตัวสร้างรายงาน (Report Generator) ซึ่งทำให้สามารถรับคำตอบทันทีในรูปแบบของการแสดงทางจอภาพหรือรายงาน

7).Graphical and Natural Queries หมายถึง กราฟิกและธรรมชาติการค้นหาผู้ใช้ ( และผู้เชี่ยวชาญสารสนเทศ) หลายรายลำบากที่จะแก้ไขวลีของ SQL และคำถามภาษาฐานข้อมูลอื่นๆ ดังนั้นโปรแกรมสำเร็จรูปฐานข้อมูลส่วนใหญ่จึงเสนอวิธีการชี้และคลิกส่วนต่อประสานกราฟิกกับผู้ใช้ (Graphical User Interface : GUI) ซึ่งง่ายต่อการใช้และใช้ซอฟต์แวร์แปลให้เป็นคำสั่ง SQL หรือโปรแกรมสำเร็จรูปอื่นที่อาจใช้ภาษาธรรมชาติ (Natural Language) ที่คล้ายกับการสนทนาภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่นๆ
8).Application Development หมายถึง วงจรการพัฒนาระบบ ให้มีขั้นตอนการทำงานที่รวบรัดมากขึ้น มีการเลือกเครื่องมือ (Tools) และเทคนิค (Techniques) ต่างๆ เพื่อช่วยในการพัฒนาระบบสนับสนุนการตัดสินใจนั้น ดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว

9).Data Manipulation Language : DML หมายถึง ภาษาจัดการข้อมูล ภาษาที่ใช้สำหรับจัดการข้อมูลภายในฐานข้อมูล ได้แก่การเรียกค้น เพิ่ม ลบ และปรับปรุงฐานข้อมูล

10).Subiect Area Database : SADB หมายถึง ฐานข้อมูลซับเจ็กแอเรีย

11).Analytical Database หมายถึง ฐานข้อมูลวิเคราะห์ เก็บข้อมูลและสารสนเทศที่ดึงมาจากฐานข้อมูลเชิงปฏิบัติการและฐานข้อมูลภายนอก ประกอบด้วยข้อมูลสรุปและสารสนเทศที่จำเป็นต่อผู้จัดการองค์กรและผู้ใช้
12).Multidimensional Database หมายถึง ระบบฐานข้อมูลหลายมิติ

13).Data Warehouses หมายถึง ศูนย์รวมของข้อมูลที่จัดให้อยู่ในลักษณะที่สะดวกต่อการนำไปวิเคราะห์โดยง่าย ตัวอย่างเช่น การวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับยอดขาย อาจมีองค์ประกอบจากลูกค้า, พนักงานขาย, ระยะเวลา, ประเภท และชนิดของสินค้า ซึ่งข้อมูลอาจมาจากหลายๆ ระบบ

14).Distributed Databases หมายถึง ฐานข้อมูลแบบกระจาย

15).End User Databases หมายถึง ฐานข้อมูลผู้ใช้ประกอบด้วยแฟ้มข้อมูลต่างๆ ที่พัฒนาโดยผู้ใช้ที่สถานีปลายทาง เช่น ผู้ใช้อาจจะมีเอกสารอิเล็กทรอนิกส์หลายๆ สำเนาที่ได้ดาวน์โหลดจาก World Wide Web จากโปรแกรมสำเร็จรูปประมวลผลคำ หรือรับจากไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรืออาจจะเป็นแฟ้มข้อมูลที่เกิดจากการใช้แผ่นตารางทำการ (Spreadsheet) และโปรแกรมประยุกต์ระบบจัดการฐานข้อมูล

16).Field หมายถึง ข้อมูลใดข้อมูลหนึ่งที่ต้องการเก็บเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ได้
17).Record หมายถึง กลุ่มของเขตข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กัน แต่ละข้อมูลสามารถแสดง
คุณลักษณะและคุณสมบัติของเรื่องเดียวกัน
18).Table หมายถึง จะเป็นการนำฟิลด์หลาย ๆ ฟิลด์มาร่วมกัน เช่น เรคอร์ดลฟูกค้า ก็จะเก็บฟิลด์ข้อมูลของลูกค้าทั้งหมดที่ประกอบด้วยชื่อ ที่อยู่ หรือ หมายเลขโทรศัพท์ เป็นต้น

19).Entity หมายถึง สิ่งที่สามารถระบุได้ในความเป็นจริง และต้องการทำการจัดเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องด้วย โดยสิ่งนั้นอาจเป็นรูปธรรมที่สามารถมองเห็นได้ เช่น หนังสือระบบฐานข้อมูล นาย ศ. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นต้น หรืออาจเป็นนามธรรมที่ไม่สามารถมองเห็นได้ เช่น จำนวนวันลาพักผ่อนของพนักงาน วันหยุดราชการ เป็นต้น ก็ได้
20).Infrastucture Management หมายถึง การจัดการ InfraStucture